ปุ๋ยเคมีทำให้ดินเสียจริงหรือ ??
มีคำพูดที่กล่าวหาโจมตีกันจนติดปากว่า ถ้าใช้ปุ๋ยเคมีติดต่อกันนานๆ ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจะกลับลดลงเรื่อยๆ เพราะปุ๋ยเคมีทำให้ดินเสีย เช่น ทำให้ดินแข็งไถพรวนยาก พืชกินปุ๋ยได้น้อยลง จึงไม่เติบโตดีเท่าที่ควร ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นที่เคยสูงก็จะลดลงเรื่อยๆ ทำให้ต้องใช้ปุ๋ยเคมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เสมือนกับการใช้ปุ๋ยเคมีนั้นเป็นยาเสพติด ฯลฯ
1. ปัญหาดินแข็งและแน่นทึบมีสาเหตุจากอะไร
ดินที่ปลูกพืชได้ผลผลิตสูงแต่เดิมนั้นเนดินดีเพราะมีดินชั้นบนเป็นดินโปร่ง ร่วนซุย และอุดมสมบูรณ์ เมื่อเกษตรกรไถพรวนดินเพาะปลูกพืชอย่างต่อเนื่องติดต่อกันมานานโดยไม่มีการปรับปรุงบำรุงดินเลยนั้น ดินก็จะเสื่อมสภาพกลายเป็นดินเลว พืชผลที่ได้จากการเพาะปลูกจะลดลงอยู่เรื่อยๆ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากการเตรียมดินเพื่อการเพาะปลูกแต่ละครั้งต้องมีการไถพรวนดิน ในสภาพดินโล่งเตียนเมื่อมีฝนตก ก่อนพืชที่ปลูกจะปกคลุมหน้าดินก็จะเกิดการชะล้างพังทลายหน้าดิน หน้าดินจึงสูญหายไปกับน้ำที่ไหลบ่าผ่านหน้าดินอยู่เรื่อยๆ นานเข้าดินชั้นบนที่เป็นหน้าดินดั้งเดิมซึ่งเป็นดินดีจะถูกชะกร่อนหายไปจนหมด ดินชั้นล่างซึ่งปกติจะเป็นชั้นดินที่แน่นทึบจะโผล่ขึ้นมาเป็นดินชั้นบนแทน จึงทำให้เห็นว่าหน้าดินมีสภาพแข็งและแน่นทึบขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว สรุปก็คือดินแข็งเกิดจากการไถพรวนเพื่อปลูกพืช ตามด้วยการชะล้างหน้าดินออกไปโดยน้ำฝน นี่คือสัจธรรมของดินกับการเพาะปลูกพืชที่ไม่มีการปรับปรุงบำรุงดินและขาดการจัดการดินที่ดี
การสูญเสียหน้าดินไปนั้น นอกจากสูญเสียธาตุอาหารไปแล้ว ดินยังสูญเสียสภาพทางกายภาพ เช่น ความร่วนซุย การระบายถ่ายเทอากาศและน้ำ เป็นต้น และทางเคมีที่ดีไปด้วย
ในขณะที่ดินกำลังเสื่อมสภาพลง ปัญหาเรื่องการขาดธาตุอาหารหรือความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลง จะเกิดขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก เกษตรกรจังมักใส่ปุ๋ย โดยเฉพาะปุ๋ยเคมีเป็นอันดับแรก เพื่อแก้ปัญหา เมื่อใส่ปุ๋ยเคมีเพิ่มธาตุอาหารที่ขาดแคลนให้พอเพียงแล้วก็ปรากฎว่าผลผลิตที่เคยลดต่ำอยู่เรื่อยๆ นั้นกลับสูงขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เลยกลายเป็นความเคยชินและเข้าใจผิตของเกษตรกรว่า การใช้ปุ๋ยเคมีเป็นปัจจัยเดียวในการแก้ไขดินเลวให้เป็นดินดี จึงยึดติดอยู่กับการใช้ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวติดต่อกันทุกๆ ปี จนต่อมาก็พบว่าผลผลิตที่เคยได้รับจากการใช้ปุ๋ยเคมีนั้นจะค่อยๆ ลดลง บางคนก็จะต้องใส่ปุ๋ยเคมีในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรักษาระดับผลผลิตให้สูงเท่าเดิม ข้อเท็จจริงที่เป็นเช่นนี้อธิบายได้ว่า ขณะที่การใช้ปุ๋ยเคมีเพิ่มธาตุอาหารให้กับดินอย่างเพียงพอนั้นปัจจัยตัวอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบของดินดี ยกตัวอย่างเช่น สภาพทางกายภาพของดินซึ่งได้แก่ ความโปร่งร่วนซุย การระบายถ่ายเทอากาศและน้ำในดินได้เสื่อมสภาพไปกลายเป็นดินที่แข็งแน่นทึบ การระบายถ่ายเทอากาศและน้ำเลวลง ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของราก การดูดกินน้ำและธาตุอาหารจากดินโดยรากที่มีอยู่ในดินเป็นจำนวนมากก็ทำได้ไม่เต็มที่ จึงทำให้เกิดการสูญเสียธาตุอาหารของปุ๋ยที่ใส่ให้โดยเปล่าประโยชน์
ในบางกรณีสภาพทางเคมีของดินก็เสื่อมลงด้วย เช่น ดินเป็นกรดมาไปจนเป็นอุปสรรคต่อการดูดกินธาตุอาหารและน้ำของราก เพราะมีธาตุบางธาตุในดินเป็นสารพิษกับรากพืช ฯลฯ ดินแข็งและแน่นขึ้นมาก ดินเป็นกรดรุนแรงขึ้น ซึ่งจะต้องแก้ไขปรับปรุงให้เหมาะสมก่อนหรือทำพร้อมๆ กับการใช้ปุ๋ยเคมี จึงจะทำให้การตอบสนองต่อการใช้ปุ๋ยเคมีมีประสิทธิภาพ สิ่งที่กล่าวมานี้ โดยทั่วไปเกษตรกรไม่ทราบ จึงไม่ได้ให้ความสำคัญเต็ที่ในการปรับปรุงสภาพทางกายภาพและทางเคมีของดินร่วมไปกับการใช้ปุ๋ยเคมี การใช้ปุ๋ยเคมีจึงไม่ได้ผลเต็มที่อย่างที่เคยได้รับอีกต่อไป และรู้สึกว่าเมื่อใช้ปุ๋ยเคมีติดต่อกันนานปีเข้าผลผลิตที่เพิ่มขึ้นนั้นลดลงเรื่อยๆ
2. ปัญหาปุ๋ยเคมีทำให้ดินเป็นกรด
อีกประเด็นหนึ่งที่มักจะนำมาโจมตีปุ๋ยเคมีอยู่เสมอๆ ก็คือ ปุ๋ยเคมีทำให้ดินเป็นกรด เป็นความจริงที่ว่าการใช้ปุ๋ยเคมีนานเข้าจะทำให้ดินเป็นกรดได้ แต่ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ปุ๋ยเคมีทุกชนิดทำให้ดินเป็นกรด ปุ๋ยเคมีพวกที่ให้ธาตุไนโตรเจนเท่านั้นที่ทำให้ดินเป็นกรด และในกลุ่มของปุ๋ยไนโตรเจนก็มีเพียงปุ๋ยพวกแอมโมเนียม เช่น แอมโมเนียมซับเฟตและยูเรียเท่านั้นที่ทำให้ดินเป็นกรด ส่วนปุ๋ยไนโตรเจนพวกไนเตรต เช่น แคบเซียมไนเตรตไม่ทำให้ดินเป็นกรด และกลับทำให้ดินเป็นกลาง เหมาะสำหรับใช้กัยดินที่เป็นกรด เพราะจะทำให้ดินมีสภาพใกล้เป็นกลางขึ้นเรื่อยๆ สำหรับปุ๋ยฟอสเฟตและปุ๋ยโพแทสเซียมไม่มีผลทำให้ดินเป็นกรดแต่อย่างใด ดังนั้นการใช้ปุ๋ยเคมีจึงไม่จำเป็นต้องทำให้ดินเป็นกรดเพิ่มขึ้นเสมอไป
อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนที่เป็นพวกแอมโมเนียมและยูเรีย และรู้ว่าต่อไปนานปีเข้าดินจะเป็นกรดมากขึ้น ผู้ใช้ปุ๋ยก็สามารถแก้ไขและป้องกันได้ โดยการวัด pH ของดินอย่างสม่ำเสมอ ถ้า pH ของดินมีค่าต่ำกว่า 5.5 เกษตรกรก็จะต้องปรับสภาพความเป็นกรดของดินด้วยการใช้ปูน เช่น ปูนมาร์ล และปูนขาว ในอัตราเหมาะสมเป็นประจำทุกปี แต่ถ้า pH ของดินมีค่าสูงกว่า 5.5 สภาพความเป็นกรดของดินจะไม่เป็นในทางลบต่อการเจริญเติบโตของพืชแต่อย่างใด อีกทางเลือกหนึ่งก็คือหันมาใช้ปุ๋ยโตรเจน พวกแคลเซียมไนเตรต และโพแทสเซียมไนเตรต แทนพวกแอมโมเนียมและยูเรียก็สามารถแก้ปัญหาได้
ปุ๋ยเคมีไม่ใช่สารพิษ
เมื่อพูดถึงปุ๋ยเคมี หลายคนยังมีความเข้าใจว่าเป็นสารเคมีเกษตรที่เป็นสารพิษ และเมื่อเอามาใช้เป็นปุ๋ยใส่ลงไปในดิน แม้จะทำให้พืชเติบโตดีและมีผลผลิตเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ในด้านโภชนาการของผลผลิตที่ได้รับจะมีสารพิษจากปุ๋ยเข้ามาสะสมอยู่ด้วย อาหารที่ผลิตเหล่านี้จึงไม่ปลอดภัยในการบริโภค อีกทั้งยังกล่าวว่าผลิตผลที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ยเคมีนั้นมีคุณภาพไม่ดี กินไม่อร่อย ด้อยคุณภาพทางด้านโภชนาการต่างๆ นานา สู้ผลิตผลที่ปลูกโดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ล้วนๆ หรือที่เรียกกันว่า “เกษตรอินทรีย์” ไม่ได้ การที่มีการปลุกกระแสซึ่งไม่เป็นความจริงให้คนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงมีความเชื่อและเข้าใจดังกล่าวข้างต้นก่อให้เกิดความสับสนแก่เกษตรกรและสังคมอย่างกว้างขวาง
ปุ๋ยเคมีเป็นสารเคมีก็จริง แต่เป็นสารเคมีที่ผลิตขึ้นมาเพื่อให้เป็นคุณไม่ใช่เป็นโทษแก่ดินและผลผลิตของพืชที่ปลูก ขอยกตัวอย่างความเป็นคุณของปุ๋ยเคมีโดยย่อๆ ดังนี้
1. ปุ๋ยเคมีเป็นสารประกอบที่มีธาตุอาหารจำเป็นต่อพืชเป็นองค์ประกอบอยู่ในปริมาณที่เข้มข้นเมื่อเทียบ
กับปุ๋ยอินทรีย์ทั้งหลาย ธาตุอาหารในปุ๋ยเคมีจะละลายน้ำง่าย เมื่อใส่ลงไปในดินจะปลดปล่อยอนุมูลของธาตุอาหารเช่น NH+4, NO-3, H2PO-4, K+ ให้ละลายอยู่ในน้ำในดินและเกาะยึดอยู่ในดินพร้อมที่จะให้รากพืชดูดกินได้ทันที การตอบสนองต่อการใช้ปุ๋ยเคมีจึงรวดเร็วและทันต่อจังหวะที่พืชกำลังมีความต้องการสูงสุด ส่งผลต่อการเจริญเติบโตที่รวดเร็วและต่อการเพิ่มผลผลิตของพืช และปุ๋ยเคมีจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อดินเป็นดินที่ไม่อุดมสมบูรณ์ ขาดธาตุอาหารต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบของปุ๋ยเคมีนั้นๆ
2. ทั้งปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์เมื่อใส่ลงไปในดินรากพืชจะดูดกินธาตุอาหารในปุ๋ยได้ก็ต่อเมื่อมีการปลดปล่อยอนุมูล NH+4, NO-3, H2PO-4, K+ ฯลฯ ซึ่งธาตุอาหารในดินในรูปนี้เท่านั้นที่รากพืชสามารถดูดกินได้ ดังนั้นในกรณีที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์ก็จะต้องปลดปล่อยอนุมูลธาตุอาหารเหล่านั้นที่มีอยู่ในปุ๋ยให้อยู่ในรูปดังกล่าวข้างต้นให้ได้เสียก่อนเช่นกัน การปลดปล่อยอนุมูลธาตุอาหารปุ๋ยในปุ๋ยอินทรีย์จะต้องมีการย่อยสลายแปรสภาพเป็นขั้นเป็นตอนโดยกิจกรรมของจุลินทรีย์ในดินเสียก่อน และแต่ละขั้นตอนก็ดำเนินไปอย่างช้าๆ ขึ้นอยู่กับความชุ่มชื้นของดิน การถ่ายเทอากาศ อุณหภูมิในดินต้องเหมาะสมเพราะเป็นกิจกรรมของสิ่งที่มีชีวิต ดับนั้น การปลดปล่อยธาตุอาหารให้อยู่ในรูปที่รากพืชดูดกินได้ก็จะช้า อีกทั้งปริมาณธาตุอาหารในปุ๋ยอินทรีย์ที่มีการใช้แต่ละครั้งจะต้องใช้ในอัตราสูงมากเมื่อเทียบกับปุ๋ยเคมี เช่น ต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 1-4 ต้น/ไร่ จึงจะเทียบเท่ากับการใช้ปุ๋ยเคมีเพียง 50 กก./ไร่
โดยสรุป ก็คือ ทั้งปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์ต่างก็ปลดปล่อยธาตุอาหารออกมาอยู่ในดินในรูปของเคมีเหมือนกัน รากพืชถึงจะดูดกินได้ ดังนั้นการที่กล่าวว่า ปุ๋ยเคมีปลดปล่อยสารที่เป็นพิษสะสมอยู่ในพืช ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค สู้ปุ๋ยอินทรีย์ไม่ได้ จึงไม่เป็นความจริง
3. สารประกอบในปุ๋ยเคมีเป็นสารประกอบทางเคมีทั่วๆ ไป ที่นำมาใช้เป็นสารอาหารและยารักษาโรคสำหรับคนและสัตว์ และสารประกอบทางเคมีเหล่านั้นยังถูกนำมาใช้ในการผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคที่ใช้กันอยู่เป็นประจำในบ้านเรือน เช่น ผงซักฟอก และกาวทนน้ำที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตไม้อัดและเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น กล่าวคือในผงซักฟอกจะมีสารเคมีที่เรียกว่า โซเดียมเมตาฟอสเฟต ซึ่งมีอนุมูลฟอสเฟตเช่นเดียวกับที่มีอยู่ในปุ๋ยเคมี ส่วนกาวทนน้ำก็จะผลิตจากยูเรีย ซึ่งเป็นปุ๋ยไนโตรเจนที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย
ในแง่ของอาหารสัตว์พวกเคี้ยวเอื้อง เช่น โคและกระบือ จะใช้ยูเรียเสริมคุณภาพหญ้าเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้มีการย่อยที่ดีขึ้น และเพิ่มไนโตรเจนให้กับหญ้าอาหารสัตว์ ส่วนในด้านการเป็นยารักษาโรคก็มี เช่น โพแทสเซียมคลอไรด์ละลายน้ำที่มีความเข้มข้น หมอในโรคพยาบาลจะสั่งจ่ายยาให้กับคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจ เนื่องจากเลือดขาดสารอิเล็กโตรไลต์ เพื่อช่วยลดอาการหายใจหอบ และเป็นยาที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับให้กินยาเม็ดที่เรียกว่า ยาแอคดิเค ตัวยาก็คือ โพแทสเซียมอัดเป็นเม็ด
4. ปุ๋ยเคมีใช้เป็นสารส่งเสริม ควบคุมการเจริญเติบโต และเพิ่มคุณภาพของผลผลิต เช่น ทำให้พืชผักกินใบมีความเขียวสด กรอบ และมีแร่ธาตุสูงขึ้น ทำให้อ้อยที่ปลูกมีปริมาณน้ำตาลสูงขึ้น ทำให้หัวมันสำปะหลังมีปริมาณแป้งเพิ่มขึ้น ทำให้โปรตีนในหญ้าอาหารสัตว์สูงขึ้น ทำให้พืชออกดอกและให้ผลผลิตเร็วขึ้น ทำให้ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวแล้วสามารถเก็บเอาไว้ได้นานขึ้น ไม่เน่าเสียเร็ว ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม การใช้ทั้งปุ๋ยอินทรีย์และเคมีจะเกิดผลเสียหายต่อพืชปลูกได้ ถ้าใส่ปุ๋ยไม่ถูกต้อง ใช้อย่างเดาสุ่ม ไม่สอดคล้องกับความต้องการของดินและพืชที่ปลูก ทั้งปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีต่างก็มีข้อเด่น ข้อด้อย ผู้ใช้ต้องมีความรู้ทางวิชาการของทั้งปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์พอสมควรจึงจะสามารถใช้ทั้งปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
อ้างอิง ข้อมูลจาก ข้อเท็จจริง การใช้สารเคมีกับการพัฒนาเกษตรไทย ฉบับที่ 2 เขียนโดย ศ.ดร.สรสิทธิ์ วัชโรทยาน,ผศงดร.เนื่องพณิช สินชัยศรี,ดร.สาทร สิริสิงห์ จัดพิมพ์โดย มูลนิธิมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์