วิเคราะห์ตลาดมะละกอสุกก่อนลงทุน
นับเป็นตลาดใหญ่ของมะละกอเลยทีเดียว มะละกอพันธุ์ยอดฮิตก็คือ ฮอลแลนด์ ส่วนมะละกอพันธุ์อื่นๆ ก็มีแซมในตลาดบ้าง เช่น แขกดำ ฮาวาย เรดเลดี้ ซึ่งตลาดค่อนข้างจำกัดและเฉพาะเจาะจง เกษตรกรที่จะปลูกพันธุ์เหล่านี้ต้องมีตลาดรองรับที่ชัดเจนและแน่นอนก่อนตัดสินใจปลูก ราคามะละกอสุกนับว่าดีอย่างต่อเนื่องมาตลอดหลายปี ราคายืนพื้นที่จากสวน 10-15 บาท/กก. มาตลอด ราคาขายส่งอยู่ที่ 18-20 บาท/กก. ราคาขายปลีกถึงผู้บริโภคอยู่ที่ 25-35 บาท/กก. ช่วงที่มะละกอขาดตลาด ราคาจากสวนพุ่งไปถึง 20-35 บาท/กก. ราคาขายส่ง 30-35 บาท/กก. ขายปลีกอยู่ที่ 40-50 บาท/กก. เนื่องจากเป็นช่วงที่มะละกอมีผลผลิตน้อย ผลไม้อื่นในท้องตลาดก็มีน้อย ราคาจึงแพง มะละกอที่จะมีผลผลิตออกช่วงนี้จะเป็นมะละกอที่ต้องออกดอกช่วงแล้งประมาณ มี.ค.-เม.ย. ซึ่งมะละกอจะไม่ค่อยติดผลเพราะดอกร่วงหมด ทำให้มะละกอมีผลผลิตน้อยหรือขาดตลาดทุกปีในช่วงตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย. หรืออาจจะยาวไปจนถึง ต.ค. ใครที่อยากขายมะละกอราคาแพงก็วางแผนปลูกให้มะละกอได้เก็บผลผลิตในช่วงดังกล่าว โดยใช้ระบบการจัดการน้ำและปุ๋ยเข้าไปช่วยเพื่อช่วยให้มะละกอติดผลได้ในช่วงดังกล่าวได้ล่ะก็ เตรียมตัวรับตังค์ก้อนโตได้เลย
ส่วนมะละกอแขกดำที่มีในตลาดบ้าง ราคาจะยืนพื้นที่ 8-10 บาท/กก. ช่วงราคาแพงก็จะอยู่ประมาณ 13-15 บาท/กก. ค่ะ แต่ตลาดก็แคบมากค่ะ แม่ค้ารับซื้อน้อยเมื่อเทียบกับฮอลแลนด์
อย่างไรก็ตามมะละกอเป็นพืชที่ไม่อยู่ในโผของผลไม้ที่มีการใช้ในเทศกาลใดๆ เลย ตลาดมะละกอสุกจึงแทบจะหยุดนิ่งในทุกเทศกาลวันหยุดกันเลยทีเดียว วันหยุดยาวที่ทำเอาชาวสวนมะละกอขยาดกันที่สุด ต้องปล่อยให้มะละกอสุกคาต้นกันเลยเพราะตลาดแทบจะหยุดการสั่งซื้อก็คือ ช่วงเทศกาลปีใหม่ และเทศกาลสงกรานต์ที่กินเวลายาวนานเกือบครึ่งเดือน รวมไปถึงทุกเทศกาลของชาวจีนที่เป็นช่วงทำเงินของพืชผักและผลไม้หลายชนิดกลับเป็นหยุดนิ่งของมะละกอเลยทีเดียว นอกจากนี้ในช่วงฤดูกาลใหญ่ของผลไม้ต่างๆทุกชนิดล้วนเป็นคู่แข่งสำคัญของมะละกอทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น ส้ม มะม่วง ทุเรียน เงาะ มังคุด เรียกว่าเมื่อถึงฤดูกาลของผลไม้เหล่านี้เมื่อไหร่ตลาดมะละกอถึงกับตายสนิทเหมือนกันเพราะมะละกอเป็นผลไม้ที่ไม่มีฤดูกาล มีผลผลิตออกมาให้ได้ทานกันตลอดแทบจะทั้งปี มีขาดช่วงบ้างก็เพียงในช่วงสั้นๆเท่านั้น ยกเว้นช่วงมะละกอขาดคออย่างพร้อมเพรียงกันในช่วงเดือน ส.ค.-ต.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่ผลไม้ชนิดอื่นมีน้อยเช่นกัน ช่วงนั้นราคามะละกอจะพุ่งสูงกว่าทุกช่วงเลยทีเดียว แต่สวนมะละกอก็ไม่มีผลผลิตจะให้เก็บกันเท่าไหร่นัก
ส่วนตลาดห้างสรรพสินค้าที่หลายคนอยากจะก้าวเข้าไปนั้นต้องบอกว่าไม่ง่ายเลย เพราะส่วนใหญ่ห้างแต่ละแห่งจะมีผู้ค้ารายเดิมที่ค้าขายกับห้างมานานครองส่วนแบ่งตลาดอยู่แล้ว ผู้ค้าหน้าใหม่ที่จะเข้าไปแทรกตัวนั้นไม่ง่ายเลย การเข้าไปเป็นผู้ค้าหรือซัพพลายเออร์หน้าใหม่ของห้างนั้นต้องผ่านขั้นตอนมากมาย ที่สำคัญต้องมีเงินนอนในกระเป๋าก้อนโตเพราะการค้ากับห้างกว่าจะได้เงินต้องใช้เวลานานกว่า 15-20 วัน เท่ากับว่าต้องส่งสินค้าเข้าไปก่อนประมาณ 15-20 วัน จึงจะได้รับเงิน จึงเป็นเรื่องยากที่ชาวสวนจะส่งห้างเอง เพราะนอกจากเรื่องของเงินทุนแล้ว ยังต้องมีจุดแพ็คกิ้งสินค้าที่ดี ตรงตามข้อกำหนดของห้าง ซึ่งทางห้างจะมีการตรวจทั้งแปลงผลิตและจุดแพ็คกิ้งก่อนจะรับพิจารณาให้คุณเข้ามาเป็นผู้ส่งสินค้าหรือซัพพลายเออร์ นอกจากนี้คุณต้องมีสินค้าเพียงพอต่อการสั่งซื้อที่จะมีออร์เดอร์การสั่งซื้อทุกวัน ออร์เดอร์ในแต่ละวันของแต่ละห้างประมาณ 1 ตัน/ผู้ค้าหนึ่งรายเป็นอย่างน้อย บางช่วงออร์เดอร์จะมากถึง 3 ตันในหนึ่งวัน นั่นหมายความว่าคุณต้องมีมะละกอที่จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทุกวัน ซึ่งมะละกอที่ส่งห้างต้องเป็นมะละกอแต้มที่ไม่สุกเหลืองทั้งผล นั่นหมายถึงมะละกอที่สุกต้องมีตลาดรองรับต่างหาก ขณะที่ตลาดค้าส่ง(ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ปฐมมงคล ฯลฯ) สามารถรับซื้อผลผลิตได้ทุกรูปแบบ ราคาจำหน่ายก็ตามเกรดของมะละกอ
cr. Rakkaset Nungruethail รักษ์เกษตร