ช่วยกดแชร์ด้วยนะคะ
ราคาผัก ผลไม้กำหนดจากอะไร…ทำไมราคาจากสวนจึงต่างจากราคาตลาดมาก ...แม่ค้ากดราคาจริงเหรอ...
รูปนี้ ได้รับการแสดงความคิดเห็นกันอย่างมาก และส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเป็นไปในทำนองว่า ทำไมราคาที่สวนจึงถูกนัก ทำไมในห้างจึงขายแพงขนาดนี้ คำตอบเดียว ก็คือ พ่อค้าคนกลางกดราคา พ่อค้ารวย ชาวสวนโดนเอาเปรียบ และหนึ่งเชื่อว่าชาวสวน 99% คิดแบบนี้ค่ะ และเป็นแนวคิดที่ถูกฝังหัวมาโดยตลอด ถามว่า ชาวสวนเคยมาเป็นพ่อค้า-แม่ค้าในตลาดรึเปล่า เคยรู้กลไกการตลาดรึเปล่า ก็ไม่เคย ถ้าหนึ่งไม่เคยมาเป็นแม่ค้ามะละกอหนึ่งก็อาจจะมองด้านเดียวเหมือนกัน แต่พอมาเป็นแม่ค้าสิ่งที่หนึ่งรับรู้และที่สัมผัสมันคนละเรื่องกันเลย
ราคาผลผลิตหรือกลไกตลาดมันเป็นการเฉลี่ยกำไรกันไปค่ะ อย่าง ราคาจากสวน 10 บาท ต้องมาบวกค่าขนส่งอีก 2-5 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทาง มาถึงแผงค้าที่ตลาดขายส่ง(ตลาดไท สี่มุมเมือง)ก็เป็น 12-15 บาท(นี่แค่ค่าของ+ค่าขนส่งนะ) แม่ค้าตลาดไทมาบวกกำไรเพิ่มอีก 3-4 บาท ซึ่งจะเป็นค่าเช่าแผง ค่าแรงงาน ค่าความเสียหาย ราคาขายส่งหน้าแผงที่ตลาดไท สี่มุมเมือง) ที่ขายให้กับลูกค้าที่มาซื้อก็จะอยู่ที่ 16-18 บาท หักค่าใช้จ่ายแล้วแม่ค้าจะเหลือกำไรจริงๆก็ 1-2 บาทต่อกก.ค่ะ แต่ถ้ารอบนั้นมีผลิตเสียหายมากจากของไม่มีคุณภาพที่สวนส่งมาให้ กับ ของขายไม่หมด แม่ค้าก็จะขาดทุนได้เหมือนกัน จึงไม่ใช่ทุกรอบที่แม่ค้าจะได้กำไร แต่ถ้าขายหมดและไม่มีของเสียหายแม่ค้าได้กำไรทุกรอบค่ะ ซึ่งโอกาสจะยากมาก มันจะมีรอบที่กำไรและรอบที่เสมอตัวหรือขาดทุนกัน จากนั้นแม่ค้าที่ซื้อไปขายปลีกซึ่งก็จะเป็นตลาดนัดทั้งหลายก็จะบวกกำไรเพิ่มไปอีก 4-5 บาท เป็นค่าเช่าแผงขาย ค่ารถที่ต้องไปซื้อของที่ตลาด ค่าแรงและกำไรที่เขาจะได้ ราคาเมื่อถึงคนกินจริงๆ ตอนนี้จะเป็น 20-25 บาทล่ะ พอมองเห็นภาพไหมค่ะ ชาวสวนไม่ได้โดนกดราคาหรือโดนเอาเปรียบนะคะ มันเป็นกลไกค่ะ แต่สวนไปมองที่ราคาซื้อจากสวน กับราคาขายปลีกที่ต่างกันเยอะไงค่ะ ราคาสวน 10 บาท ราคาตลาดขายปลีก 20-25 บาท สวนก็จะรับไม่ได้ค่ะ
สวนอยากขายราคาแพงคุณต้องปลูกให้ได้ปริมาณที่มากพอค่ะเพื่อประหยัดค่าขนส่ง คุณมีผลผลิต 200 กก. มันวิ่งมาส่งตลาดไทก็ไม่คุ้ม ยิ่งอยู่ไกลตลาดยิ่งเสียเปรียบ เพราะค่าขนส่งยิ่งแพง และคุณก็ต้องส่งผ่านพ่อค้าคนกลางที่รวบรวมผลผลิตในพื้นที่ค่ะ ถ้าคุณทำปริมาณไม่ได้ก็ต้องยอมรับเงื่อนไขนี้ค่ะ หรืออีกอย่างขายเองในพื้นที่ค่ะ อย่าบอกว่าไม่มีเวลา ทำไม่ได้เด็ดขาดนะคะ แต่ถ้าคุณมีผลผลิต 1-3 ตัน คุณมาส่งเองได้ค่ะ เพราะฉะนั้นอยากได้ราคาดี ไม่อยากโดนกดราคาปลูกเยอะๆค่ะ อย่าปลูกน้อย ยิ่งปลูกน้อยยิ่งขายยากค่ะ
คราวนี้มาดูราคาซื้อสวนกำหนดจากอะไร อย่างวันนี้ ซื้อสวนมา 10 บาท ตลาดไทขาย 15 บาท แม่ค้าตลาดนัด 20 บาท แต่คนซื้อที่ตลาดนัดบอกแพง ไม่ซื้อ ขายไม่ได้ ฝนตก น้ำท่วมและสารพัดปัญหา พรุ่งนี้แม่ค้าตลาดนัดจะไม่กลับมาซื้อของที่ตลาดไท แต่ของที่ตลาดไทยังเข้ามาเหมือนเดิม ของจะล้น ของจะสุก เหี่ยว เสียหาย แม่ค้าตลาดไทจะต้องเทราคาขายเท่าทุนหรือขาดทุนทันทีค่ะ มะรืนแม่ค้าตลาดไทจะไปลงราคาที่สวนค่ะ เพราะราคาที่ตลาดนัดคนซื้อไม่ไหว ขายไม่ได้ ในทางกลับกัน ช่วงไหนของน้อย ขายดี ไม่พอขาย แม่ค้าตลาดไทจะไปขึ้นราคาที่สวนทันที ราคาในสวนก็จะขึ้นค่ะ ...นี่คือเหตุผลว่าทำไม ของมันจึงราคาขึ้นลงค่ะ เพราะไม่มีใครรู้ว่าวันนี้ของจะเข้าตลาดมากน้อยแค่ไหน จะขายกันได้เท่าไหร่ที่ตลาดกลาง(ตลาดไท สี่มุมเมืองค่ะ) หรือที่ตลาดนัดจะขายกันได้เท่าไหร่ มันเลยกำหนดราคาไม่ได้ค่ะโดยเฉพาะผักที่ราคาจะเปลี่ยนหลายราคาในวันเดียวค่ะ สวนก็อยากได้ราคาประกัน แต่ในความเป็นจริงมันทำยากค่ะกับการปลูกผัก ผลไม้ แม้แต่ในห้างยังต้องมีการเสนอราคาทุกอาทิตย์เลยค่ะ
คราวนี้มาถึง ราคาในห้างค่ะ ทำไมมันจึงสูงขนาดนี้ โดยปกติแล้วห้างจะซื้อสินค้าผ่านซัพพลายเออร์ หนึ่งบอกได้เลยว่า สวนจะส่งห้างเองโดยตรงทำได้ยาก แต่ก็ทำได้นะคะ แต่ส่วนใหญ่ไม่ยั่งยืนและยาวนานพอค่ะ เพราะออร์เดอร์ห้างจะแน่นอน สั่งของทุกวันๆละ 500-1500 กก. โดยประมาณค่ะ ต้องมีของส่งทุกวันตามใบสั่งซื้อค่ะ นั่นหมายถึงสวนต้องมีสินค้าที่มากพอที่จะส่งห้างได้ทุกวันค่ะ ห้างจะมีรอบการส่งของที่แน่นอนประมาณ 2 รอบต่อวันอย่างรอบ ตี 1 ,ตี 5, บ่ายโมง,บ่าย 3 โมง เป็นต้น คุณต้องมีรถไปส่งของให้ทันตามเวลาที่ห้างกำหนดวันละ 2-3 รอบ ห้ามสาย ถ้าสายโดนหักค่ะ แล้วคุณว่าคนขับรถที่ต้องส่งตี 1 กับ ตี 5 บางห้างมี ตี 3 อีก แต่ละคนจะอยู่ได้กี่เดือนค่ะ เปลี่ยนบ่อยที่สุดค่ะ แล้วซัพพลายเออร์ต้องมีจุดแพ็คสินค้ามาตรฐานตามที่ห้างกำหนดอีก รอบการจ่ายเงินห้างประมาณ 20-30 วัน นั่นเท่ากับว่าเราต้องส่งของไป 20-30 วัน จึงจะได้รับเงิน ถ้าเราส่งของวันละ 10,000 บาททุกวัน 20-30 วันก็เท่ากับ 200,000-300,000 บาท นั่นคือต้นทุนที่เราต้องจ่ายไปก่อนค่ะ รอไหวไหมค่ะ
ส่วนราคาที่ขายบนห้างเป็นราคาขายที่ห้างบวกค่าการจัดการ ค่าเสียหายจากผลผลิตที่เน่าเสีย ขายไม่ทัน ขายไม่หมดและค่าใช้จ่ายอื่นๆไว้อีก 30-35% ค่ะ เราไปเลือกของในห้างเห็นไหมค่ะ เราเลือกกันกระจุยกระจาย เขี่ยของไม่ดีทิ้งกันเยอะแยะ มันกลายเป็นต้นทุนกลับมาหาเราค่ะ ดังนั้นราคาที่ห้างซื้อจากซัพพลายเออร์ก็จะถูกหักไป 30-35% ค่ะ อย่างในภาพ ราคา 49 บาท ห้างจะซื้อซัพพลายเออร์ประมาณ 25-30 บาทค่ะ ซัพพลายเออร์ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการซื้อของจากสวน ค่าขนส่ง ค่าพนักงาน ค่าเช่าตระกร้าห้างและอื่นๆ โดยส่วนต่างจากราคาซื้อสวน 8-10 บาทต้องมาจ่ายกับสิ่งเหล่านี้ ไหนจะต้องสำรองเงินที่ต้องจ่ายไปก่อนเป็นเงินก้อนโตอีกค่ะ ราคาซื้อสวนก็จะอยู่ที่ 15-20 บาทค่ะ สวนก็จะไปว่าซัพพลายกดราคาอีกค่ะ เพราะราคาในห้างขายตั้ง 49-59 บาท สวนเคยรู้ข้อมูลตรงนี้รึเปล่าค่ะ เห็นแบบนี้แล้วยังอยากขายของให้ห้างอยู่ไหมค่ะ ไม่ง่ายค่ะ
การขายสินค้าผลสด มันเดินอยู่บนความเสียหายค่ะ มันเน่าเสียง่ายค่ะ แต่คนกินอย่างเราๆก็อยากซื้อแต่ของสดๆ ดีๆ ถูกๆ ของเน่าๆ เสียๆ ช้ำที่เหลือจากที่เราเลือกซื้อไป ห้างก็ต้องทิ้ง นั่นคือค่าความเสียหายที่เขาคิดเผื่อไปไงค่ะ แต่สวนคุณขายได้ทุกลูกที่มาส่งนะคะ
ราคาสินค้ามันเป็นไปตามกลไกของตลาดค่ะ ถ้าสวนคิดว่าแม่ค้ากดราคา ลองมาขายเองนะคะ แล้วคุณจะเข้าใจและหลายคนเข้าใจอย่างลึกซึ้ง กลับไปทำสวนกันเหมือนเดิมมานักต่อนักแล้วค่ะ
***ถ้าเช็คราคาตลาดแล้ว โดนแม่ค้ากดราคาเปลี่ยนแม่ค้านะคะ หรือถ้าจะให้ดีอย่าขายแม่ค้าคนเดียวค่ะ เลือกขายแม่ค้าสัก 2 คน เพื่อเปรียบเทียบราคาซื้อกันค่ะ คุณจะไม่โดนกดราคาค่ะ
Rakkaset Nungruethail รักษ์เกษตร
ช่วยกดแชร์ด้วยนะคะ